1200 จำนวนผู้เข้าชม |
ทารกแรกเกิดวิกฤติ ทุกนาทีมีความหมายกับชีวิต
สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์การดูแลเจ้าตัวน้อยให้ออกมาลืมตาดู โลกอย่างราบรื่นคือสิ่งสำคัญที่ สุด จากข้อมูลของสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีระบุว่า ประเทศไทยมีทารกเกิดใหม่ถึงปีละ 7 แสนคน โดยมีทารกที่เกิดก่ อนกำหนดประมาณ 1 แสนคน และอัตราการเสียชีวิตของเด็ กแรกคลอดอยู่ที่ 6.7 คนใน 1 พันคน เป็นอันดับ 3 ของอาเซียน ดังนั้นทารกแรกเกิ ดและทารกแรกเกิดวิกฤติจึงจำเป็นต้องได้รับการดูแลโดยกุ มารแพทย์สาขาทารกแรกเกิดและปริ กำเนิดโดยเฉพาะที่หน่วยดู แลทารกแรกเกิดวิกฤติ (Neonatal Intensive Care Unit: NICU) ไม่เพียงช่วยให้รักษาได้ทันท่ วงที ยังช่วยลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิ ดขึ้นได้ เพราะทุกนาทีของทารกแรกเกิดนั้ นมีความสำคัญอย่างมาก เวลาที่ต่างกันในการคลอดแม้เพี ยงหนึ่งวันก็มีผลต่อพั ฒนาการของทารก
คุณแม่รู้ทันครรภ์เสี่ยง
ทารกแรกเกิดอาจมีความผิดปกติ หากคุณแม่มีปัจจัยเสี่ยงดังต่อไปนี้
• ตั้งครรภ์อายุมากกว่า 35 ปี
• มารดาอายุน้อยกว่า 16 ปี
• มีเลือดออกผิดปกติขณะตั้งครรภ์
• รกลอกตัวก่อนกำหนดคลอด หรือรกเกาะต่ำ
• ความดันโลหิตสูง เกิน 160 มม.ปรอทขึ้นไป
• โรคเบาหวาน
• มีการติดเชื้อ เช่น เชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ต่าง ๆ
• โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE)
• ครรภ์แฝด
• ครรภ์เป็นพิษ
• น้ำคร่ำมากหรือน้อยเกินไป
• ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด
ความผิดปกติของทารก
ภาวะวิกฤติหรือความผิดปกติ ของทารกที่ต้องได้รับการดูแลรักษา ได้แก่
• ทารกคลอดก่อนกำหนดอายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์ (หรือหลังอายุครรภ์ 42 สัปดาห์)
• ทารกน้ำหนักตัวน้อยกว่า 2,500 กรัม หรือมากกว่า 4,000 กรัม
• ทารกมีน้ำหนักผิดปกติเมื่อเที ยบกับอายุครรภ์
• ทารกแฝด
• ทารกตรวจพบความผิดปกติ เช่น ขาดออกซิเจน
• ทารกมีท่าผิดปกติในครรภ์ เช่น ท่าก้น ท่าขวาง
• ทารกเกิดความผิดปกติระหว่างคลอด
• ทารกพิการแต่กำเนิด
การดูแลทารกแรกเกิด
การดูแลทารกแรกเกิดควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากกุ มารแพทย์ ซึ่งการดูแลที่จำเป็น ได้แก่
• การวัดสัญญาณชีพตลอด 24 ชั่วโมง
• การควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสม
• การควบคุมและป้องกันการติดเชื้อ
• การดูแลรักษาระบบทางเดินหายใจ
• การเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน
• การเฝ้าระวังติดตามและการดูแลรั กษาเฉพาะโรค
• การดูแลด้านโภชนาการ
• การดูแลด้านขับถ่าย
• การดูแลติดตามด้านพั ฒนาการในระยะสั้นและระยะยาว
การดูแลเฉพาะทารกแรกเกิดวิกฤติ
ทารกที่มีความผิดปกติจำเป็นที่ จะต้องได้รับการดูแลเป็นพิ เศษในด้านต่าง ๆ ดังนี้
• การช่วยกู้ชีพและให้ออกซิ เจนทารก
เป็นการดูแลหลั งจากทารกคลอดออกมา ซึ่งเด็กที่คลอดส่วนใหญ่ จะหายใจเองได้ แต่มีเพียง 1% เท่านั้นที่ไม่สามารถหายใจได้เอง ซึ่งต้องการการกู้ชีพจึงต้องใช้ อุปกรณ์ช่วยหายใจเพื่อให้ทารกหายใจเองได้
• การปรับอุณหภูมิร่างกายทารก
โดยใช้ตู้อบช่วยให้ทารกมีอุณหภู มิเหมาะสมตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ควรอยู่ในช่วง 36.8 – 37.2 องศาเซลเซียส เพราะหากทารกแรกคลอดตัวเย็น อาจทำให้ความดันในปอดสูง เกิดปัญหาหายใจเร็วได้
• การควบคุมการติดเชื้อ
เกิดขึ้นได้ตั้งแต่ทารกอยู่ ในครรภ์ เช่น แม่มีน้ำเดินก่อนคลอดนานกว่า 18 ชั่วโมง แม่มีเชื้อราในช่องคลอด แม่ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น
• การให้สารน้ำ สารอาหาร และโภชนาการที่เหมาะสม
จะเน้นการให้นมแม่มากที่สุด แต่หากทารกมีภาวะเจ็บป่วย เช่น น้ำตาลต่ำ อาจต้องตรวจระดับน้ำตาลในเลื อดเป็นระยะ หรือในกรณีที่ทารกคลอดก่อนกำหนด หายใจเร็ว ไม่สามารถทานเองได้ก็จำเป็นที่ จะต้องให้สารอาหารผ่ านทางสายยางให้อาหารและสารน้ำ ทางเส้นเลือด เป็นต้น
นอกจากนี้การดูแลทารกแรกเกิดวิกฤตินั้นมีการนำอุปกรณ์และเครื่องมือที่ทันสมัยเข้ามาช่ วยในการดูแลรักษา อาทิ ตู้อบ เครื่องช่วยหายใจความถี่สูง เครื่องจ่ายก๊าซไนตริกออกไซด์ เพื่อรักษาภาวะความดันหลอดเลื อดในปอดสูง เครื่องส่องไฟรักษาภาวะตัวเหลื องในทารกแรกเกิด เป็นต้น เพื่อให้ทารกมีสุขภาพที่แข็ งแรงโดยเร็ว
ปัญหาทารกแรกเกิดวิกฤตินั้ นสามารถป้องกันได้ หากคุณแม่ฝากครรภ์อย่างมีคุ ณภาพตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ เพื่อจะได้ตรวจสุขภาพคุณแม่คุ ณลูกและดูแลอย่างถูกต้ องตามคำแนะนำของสูติ – นรีแพทย์และกุมารแพทย์ หากพบปัญหาจะได้ วางแผนการคลอดและการดูแลรั กษาได้โดยเร็ว ซึ่งโรงพยาบาลกรุงเทพพร้อมดู แลสุขภาพคุณแม่ตั้งครรภ์ให้เจ้ าตัวน้อยออกมาลืมตาดูโลกได้อย่ างแข็งแรงและเติบโตมีพัฒนาการที่ ดีตามวัย
ขอบคุณข้อมูลโดย
: พญ. อรวรรณ อิทธิโสภณกุล
ศูนย์กุมารเวช โรงพยาบาลกรุงเทพ