ทารกท้องผูก คุณแม่ควรทำอย่างไร

2110 Views  | 

ทารกท้องผูก คุณแม่ควรทำอย่างไร

ทารกท้องผูก คุณแม่ควรทำอย่างไร

ทารกท้องผูก เป็นปัญหาสุขภาพของทารกที่คุ ณแม่ควรใส่ใจและสังเกตเป็นพิเศษ เพราะไม่เหมือนกับอาการทั่วไปที่ ทารกจะแสดงพฤติกรรมเพื่อส่งสั ญญาณให้รู้อย่างชัดเจน ที่สำคัญพ่อแม่ควรเรียนรู้วิธี ดูแลรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม เพื่อช่วยให้ลูกน้อยหายท้องผู กและกลับมาถ่ายได้ตามปกติ


โดยทั่วไปแล้ว ทารกแรกเกิดจนถึงอายุ 3 เดือน อาจถ่ายวันละประมาณ 2–3 ครั้ง หรือสัปดาห์ละ 5–40 ครั้ง เมื่ออายุ 3–6 เดือน จะถ่ายวันละ 2–4 ครั้ง ส่วนทารกอายุ 6 เดือนขึ้นไป อาจถ่ายวันละประมาณ 1–2 ครั้ง หรือสัปดาห์ละ 5–28 ครั้ง ทั้งนี้ ทารกอาจไม่ได้ถ่ายทุกวัน ซึ่งการที่ทารกไม่ถ่ายนั้นไม่ ได้บ่งบอกว่ามีอาการท้องผู กเสมอไป หากสงสัยว่าลูกท้องผูก ควรสั งเกตอาการอื่น ๆ ร่วมกับลักษณะอุจจาระว่าแข็งหรื อมีเลือดปนออกมาด้วยหรือไม่




ทารกท้องผูกมีอาการอย่างไร ?


โดยทั่วไปแล้ว ทารกแต่ละคนมีความถี่ในการขับถ่ ายแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าเด็กดื่มนมแม่  หรือนมชง หัดกินอาหารได้หรือยัง และกินอาหารอะไรไปบ้าง พ่อแม่ควรหมั่นสังเกตอาการหรื อความผิดปกติเกี่ยวกับการขับถ่ าย อาการที่อาจแสดงว่าทารกท้องผูก มีดังนี้




1. ไม่ค่อยถ่าย ความถี่ในการขับถ่ ายแต่ละวันของทารกนั้นไม่แน่นอน โดยเฉพาะในช่วงที่เพิ่งเริ่มหั ดกินอาหารใหม่ ๆ อย่างไรก็ตาม หากสังเกตว่าทารกไม่ได้ขับถ่ ายติดต่อกันนานกว่า 2-3 วัน อาจเป็นสัญญาณของอาการท้องผู กได้


2. ต้องออกแรงเบ่งอุจจาระ พ่อแม่ ควรสังเกตว่าเด็กต้องออกแรงเบ่ งอุจจาระมากกว่าปกติ หรือรู้สึกหงุดหงิดและร้องไห้ เวลาขับถ่ายหรือไม่ หากมีอาการเหล่านี้ เด็กอาจประสบภาวะท้องผูกอยู่


3. มีเลือดปนอุจจาระ ทารกที่ท้องผู กอาจมีเลือดปนมากับอุจจาระได้ เนื่องจากผนังทวารหนักฉี กขาดจากการออกแรงเบ่งอุจจาระ


4. ไม่กินอาหาร ทารกจะไม่กิ นอาหารและมักรู้สึกอิ่มเร็ว เนื่องจากอึดอัดและไม่สบายท้ องจากการไม่ได้ขับถ่ายของเสีย


5. ท้องแข็ง ลักษณะท้องของทารกจะตึ ง แน่น หรือแข็ง ซึ่งเป็นอาการท้องอืดที่เกิดขึ้ นร่วมกับการมีท้องผูก


ทารกท้องผูกเกิดจากอะไรบ้าง


ปัญหาทารกท้องผูกเกิดได้ จากสาเหตุหลายประการ โดยแบ่งตามช่วงอายุ ของทารกออกเป็น 2 ช่วงวัย ดังนี้


สาเหตุอาการท้องผูกของทารกอายุ น้อยกว่า 6 เดือน


ทารกที่อายุน้อยกว่า 6 เดือนอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิ ดอาการท้องผูกจากปัจจัยต่อไปนี้


• ปัญหาสุขภาพ
หากทารกอายุน้อยกว่า 1 เดือนที่มีอาการท้องผูกควรได้รั บการดูแลจากกุมารแพทย์อย่างใกล้ ชิด เนื่องจากอาจเป็ นอาการของภาวะลำไส้ใหญ่โป่ งพองแต่กำเนิด (Hirschsprung’s Disease: HD) มีโอกาสเกิดขึ้นประมาณ 1 ใน 5,000 คน และจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตั ด


• น้ำนม
ส่วนใหญ่ทารกที่ดื่มนมแม่มักไม่ เกิดปัญหาท้องผูก เนื่องจากน้ำนมแม่มีแบคทีเรี ยชนิดดี รวมถึงไขมันและโปรตีนที่ช่วยให้ อุจจาระไม่แข็งตัว ส่งผลให้ขับถ่ายง่าย อย่างไรก็ตาม เด็กอาจถ่ายไม่ออก เนื่องจากแพ้โปรตีนในน้ำนมหรื ออาหารบางอย่างที่คุณแม่รั บประทานเข้าไปและไหลผ่านน้ำ นมไปสู่ลูก


• คลอดก่อนกำหนด
ทารกคลอดก่อนกำหนดที่ท้องผู กจะมีอาการแย่กว่าเด็กทั่วไป เนื่องจากระบบย่อยอาหารยังเจริ ญไม่เต็มที่ ส่งผลให้อาหารที่รับประทานเข้ าไปเคลื่อนผ่านทางเดินอาหารช้ าและย่อยได้ไม่สมบูรณ์ อุจจาระจึงมีลักษณะแห้งและแข็ง


สาเหตุอาการท้องผูกของทารกอายุ 6 เดือนขึ้นไป


เมื่อทารกอายุมากกว่า 6 เดือน สภาพร่างกายและอาหารการกินอาจมี การเปลี่ยนแปลง หรือพบปัญหาสุขภาพที่ทำให้เกิ ดอาการท้องผูกได้


• นมชง
เด็กที่ดื่มนมชงเพียงอย่างเดี ยวเสี่ยงเกิดท้องผูกได้มาก เนื่องจากนมชงมีส่วนผสมที่ อาจทำให้ระบบย่ อยอาหารทำงานมากขึ้น ส่งผลให้อุจจาระเป็นก้อน นอกจากนี้ หากทารกแพ้โปรตีนในน้ำนมก็ อาจเกิดอาการท้องผูกได้


• อาหารต่าง ๆ
ทารกอาจท้องผูกหลังเปลี่ ยนจากการดื่มนมแม่มาเป็นการรั บประทานอาหารอื่น ๆ เนื่องจากร่างกายไม่ได้รั บของเหลวในปริมาณเท่าเดิม อีกทั้งอาหารบางอย่างมีเส้นใยต่ำ  ทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ง่าย


• ภาวะขาดน้ำ
ในบางกรณี หากทารกประสบภาวะขาดน้ำหรือได้ รับน้ำไม่เพียงพอ ร่างกายจะดูดซึมน้ำจากอาหารที่ กินเข้าไป รวมถึงน้ำจากกากของเสียในร่ างกาย ส่งผลให้อุจจาระแห้งและแข็งจนขั บถ่ายลำบาก


• อาการป่วยและยา
อาการท้องผูกในทารกอาจเกิดจากปั ญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น ไฮโปไทรอยด์ โบทูลิซึม (Botulism) อาการแพ้อาหารบางชนิด โรคเกี่ยวกั บระบบการเผาผลาญอาหาร เป็นต้น รวมถึงอาการป่วยอื่น ๆ ที่อาจส่งผลให้เด็กกินอาหารหรื อดื่มน้ำน้อยลง ทำให้ระบบการทำงานของร่างกายผิ ดปกติและนำไปสู่ปัญหาท้องผูก นอกจากนี้ การใช้ยาระงับปวดชนิดเสพติดหรื อธาตุเหล็กในปริมาณสูงก็ทำให้ เกิดท้องผูกได้


ทารกท้องผูกต้องดูแลอย่างไร ?


พ่อแม่ที่เป็นกังวลหรือสงสัยว่ าลูกน้อยอาจมีอาการท้องผูก ควรดูแลทารกด้วยการปรับเปลี่ ยนพฤติกรรมการกินเป็นหลัก และอาจกระตุ้นให้ขับถ่ายด้วยวิ ธีอื่น ๆ ดังนี้


ปรับการกินอาหารของทารก


โดยทั่วไปแล้ว ทารกอายุน้อยกว่า 6 เดือนมักจะดื่มนมแม่เพียงอย่ างเดียว ทำให้ไม่ค่อยมีอาการท้องผูก  เพราะจริง ๆ แล้ว น้ำนมแม่มีส่ วนประกอบของโพรไบโอติก (Probiotics) หรือแบคทีเรียในลำไส้ชนิดที่ดี มีประโยชน์ และพรีไบโอติก (Prebiotics) หรืออาหารที่ช่วยกระตุ้นการเติ บโตและเสริมความแข็งแรงให้กั บแบคทีเรียชนิดดังกล่าว 


โดยโพรไบโอติกนั้นมีส่วนช่ วยในกระบวนการย่อยอาหารและปรั บสมดุลของลำไส้ ส่งผลให้ปัญหาทารกท้องผูกเกิดขึ้ นได้น้อยครั้ง การให้ทารกกินนมแม่ตั้งแต่ แรกคลอดไปจนครบ 6 เดือนหรือนานกว่านั้น จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นของระบบย่ อยอาหารที่แข็งแรงนั่นเอง อย่างไรก็ตาม อาการท้องผูกของทารกอาจเกิ ดจากการแพ้อาหารที่แม่รั บประทานเข้าไปได้เช่นกัน คุณแม่ที่ให้นมบุตรจึงควรเลี่ ยงอาหารที่ส่งผลต่อการขับถ่ ายของลูก


สำหรับทารกอายุ 6 เดือนขึ้นไป ทารกวัยนี้เริ่มหัดกินอาหารอื่ นร่วมกับนมแม่หรือนมชงได้แล้ว พ่อแม่จึงควรปรับการกิ นอาหารของทารกเพื่อป้องกันปั ญหาท้องผูก ดังนี้


• เปลี่ยนการให้นม ทารกที่ดื่ มนมชงอาจแพ้ส่วนผสมบางอย่ างของนมผง จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อเปลี่ ยนยี่ห้อนม รวมทั้งสังเกตว่าเด็กแพ้ส่ วนผสมใดในนมผง


• เติมน้ำผลไม้ในนม น้ำผลไม้ อาจบรรเทาอาการท้องผูกได้หากบริ โภคในปริมาณเล็กน้อย โดยควรผสมน้ำแอปเปิ้ล น้ำลูกแพร์ หรือน้ำลูกพรุนลงไปในนมชงหรือน้ำ นมแม่วันละประมาณ 30-60 มิลลิลิตร


• เสริมใยอาหาร ทารกที่เพิ่งเริ่ มกินอาหารอื่นควรเลี่ยงอาหารที่ เสี่ยงทำให้ท้องผูก โดยควรลดข้าว กล้วย และแครอทสุก หรือเลี่ยงไม่ให้เด็กกินข้าวกั บกล้วย เนื่องจากข้าวและกล้วยจับตั วเหนียวเป็นก้อนได้ง่าย ทำให้ร่างกายย่อยยาก อีกทั้งควรให้เด็กกินอาหารที่มี เส้นใยมากขึ้น เช่น บร็อคโคลี่ ลูกพรุน ลูกแพร์ ลูกพีช แอปเปิ้ลแบบปอกเปลือก ธัญพืชที่ผ่านการปรุงสุก ขนมปังธัญพืชไม่ขัดสี เป็นต้น ทั้งนี้ หากทารกยังไม่ได้เปลี่ยนมากิ นอาหารอื่น อาจนำผักผลไม้มาบดละเอียดและให้ เด็กกินแทนได้


• ให้ดื่มน้ำเยอะขึ้น พ่อแม่ ควรให้เด็กดื่มน้ำอย่างเพียงพอ เพราะน้ำเปล่าและนมจะช่วยให้ร่ างกายของเด็กชุ่มชื้นและขับถ่ ายอย่างสม่ำเสมอ และอาจให้เด็กดื่มน้ำลูกพรุนหรื อน้ำลูกแพร์เพื่อกระตุ้นการบี บตัวของลำไส้ โดยควรผสมน้ำเปล่าเพื่อเจื อจางความเข้มข้นของน้ำผลไม้ไม่ ให้หวานจนเกินไป


การดูแลและกระตุ้นให้ทารกขับถ่ าย


นอกจากอาหารแล้ว อาจใช้การกระตุ้นด้วยวิธีอื่ นเพื่อให้ทารกขับถ่ายได้ง่ายขึ้ น เช่น


• ช่วยขยับร่างกาย การเคลื่ อนไหวร่างกายจะช่วยเร่งการย่ อยอาหาร ส่งผลให้ร่างกายลำเลียงของเสี ยออกไปได้เร็ว โดยพ่อแม่อาจฝึกทารกที่ยังเดิ นไม่ได้ให้ถีบจักรยานกลางอากาศ หรือหากทารกยังคลานไม่ได้ อาจช่วยนวดกระตุ้นขา


• นวดท้องเด็ก วิธีนี้จะช่วยกระตุ้ นลำไส้ ส่งผลให้ขับถ่ายได้ง่าย พ่อแม่อาจลองนวดท้องส่วนล่างด้ านซ้ายของเด็กซึ่งอยู่ใต้สะดื อประมาณ 3 นิ้วมือ โดยใช้ปลายนิ้วกดลงไปเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอประมาณ 3 นาที และควรหมั่นนวดวันละหลายครั้ งจนกว่าเด็กจะถ่ายได้ปกติ


• ทาว่านหางจระเข้ หากเด็กถ่ ายลำบากจนมีเลือดออกหรือผิวหนั งบริเวณทวารหนักฉีกขาด ควรพาไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉั ยสาเหตุและรับการรักษาเป็นอันดั บแรก แต่ในระหว่างที่ยังไม่ได้รั บการรักษาอาจใช้ครีมที่มีส่ วนผสมของว่านหางจระเข้ทาบริ เวณดังกล่าวเพื่อช่ วยบรรเทาความเจ็บปวด


• ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีรักษา  พ่อแม่ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกั บการใช้ยาหรือวิธีรักษาอาการท้ องผูกของเด็ก โดยแพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาที่ช่ วยให้อุจจาระไม่แข็งตัวเพื่อให้ เด็กถ่ายง่ายขึ้นหรือใช้ยากลี เซอรีนเหน็บก้น อย่างไรก็ตาม ไม่ควรใช้ยาเหน็บก้นเป็นประจำ เนื่องจากจะทำให้เด็กเคยชิ นและไม่ถ่ายเองตามปกติ รวมทั้งเลี่ยงไม่ให้เด็กรั บประทานยาระบาย หากไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ก่ อน


ทารกท้องผูก รักษาอย่างไร ?


ปัญหาทารกท้องผูกดูแลได้ด้ วยการใส่ใจพฤติกรรมการกิ นและการเคลื่อนไหวของเด็ก แต่หากวิธีดังกล่าวใช้ไม่ได้ผล พ่อแม่อาจใช้ยารักษาอาการท้องผู กสำหรับเด็กได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ถึงวิธีการใช้ ที่ถูกต้องและปลอดภัยต่อทารกเสี ยก่อน โดยวิธีรักษาอาการท้องผู กของทารกด้วยการใช้ยาที่ทำได้ เองที่บ้าน ได้แก่


• เหน็บก้นด้วยกลีเซอรีน คื อการเหน็บก้นด้วยยากระตุ้นการขั บถ่ายชนิดหนึ่ง เหมาะกับทารกที่มีเลือดปนมากั บอุจจาระ ยานี้หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่ วไป โดยต้องปฏิบัติตามวิธีการใช้ที่ ระบุในเอกสารกำกับยาหรื อตามคำแนะนำของแพทย์


• ใช้ยาระบาย เป็นยาถ่ายสำหรับเด็ ก ตัวยามีส่วนผสมที่ช่วยให้อุ จจาระไม่แข็งตัว ช่วยให้เด็กถ่ายได้ง่ายขึ้น แต่ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่ อนการใช้ยาเสมอ


อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ควรพบแพทย์เพื่อปรึกษาเกี่ ยวกับปัญหาทารกท้องผู กและขอคำแนะนำในการรักษาอาการดั งกล่าว เนื่องจากแพทย์จะช่วยวินิจฉั ยสาเหตุที่อาจเกิดจากปัญหาสุ ขภาพบางประการและให้การรักษาด้ วยวิธีทางการแพทย์อย่างเหมาะสม


บทความโดย : เว็ปไซด์ PODPAD.COM

This website uses cookies for best user experience, to find out more you can go to our Privacy Policy  and  Cookies Policy